เทศน์เช้า วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
วันนี้วันเนานะ วันก่อนออกพรรษา เห็นไหม วันก่อนออกพรรษา พรุ่งนี้วันออกพรรษา พรุ่งนี้จะเป็นวันธุดงค์วันสุดท้าย แล้วออกพรรษาแล้วนี่ภัตตามมาได้ ภัตตาหารตามมานี่เรียกว่าภัตตาหาร ภัตตามมาคือภัตตาหารไม่ให้ตามมา
พระบิณฑบาตให้ตามมีตามได้ ในธุดงควัตรแบบว่าให้พระรู้จักมักน้อยสันโดษ ให้เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ให้เข้าถึงสัจจะความจริง เห็นไหม ต้นฤดูนี่เราจะรู้ว่าฤดูนี้เราจะประสบความสำเร็จไหม ฤดูฝนเราจะทำกสิกรรมกัน เราจะมีพืชผลธัญญาหารไหม พอเวลาปลายฤดู นี่ต้นฤดูมันเข้าพรรษา เวลาปลายฤดูนี่ออกพรรษา ในพรรษาหนึ่งเราได้ทำผลประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยไหม
เวลาเข้าฤดู ก่อนฤดูกาลเข้าพรรษานี่อธิษฐานพรรษากัน อธิษฐานพรรษาเพื่อให้เราได้จริงจัง เพื่อให้เราได้ออกนอกพรรษาเราธุดงค์ไปไหนก็ได้ เราจะวิเวกที่ไหนก็ได้ พอฤดูฝนมันไปเหยียบข้าวกล้าเขา เราก็ต้องอธิษฐานพรรษาเพื่อให้มันมั่นคง แล้วที่ไหนเราพยายามหาที่เหมาะสมของเรา แล้วทำของเรา
นี่พูดถึงการประพฤติปฏิบัติ มรรคผลนะ ทรัพย์สมบัติในหัวใจ แต่ทรัพย์สมบัติภายนอก เห็นไหม เริ่มฤดูกาลเขาเสี่ยงทายกัน เขาต้องทำกสิกรรมกัน เพื่อประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของเขา ปลายฤดูกาล พืชผลธัญญาหารมันได้สมประกอบไปของเขาไหม ถ้าปลายฤดูของเขาเก็บเกี่ยวได้ผลมา เขาก็มีแม่โพสพต่างๆ เขาก็ทำบุญกุศลของเขากัน นี่พูดถึงฤดูกาลนะ แต่ถ้าความเป็นจริงของเราล่ะ
ความเป็นจริงของเรานะ ถ้าพูดถึงคนที่มีหลัก ผู้ที่แก่เฒ่า ผ่านประสบการณ์ทางโลกมา สิ่งนี้มันเกิดมาเห็นทุกปีๆ เราเกิดมากี่ฝน? ๑๐๐ กว่าฝน นี่กี่ปี เราเห็นมาจนชินชา ความชินชาของเรา เราได้ประโยชน์อะไรของเราบ้าง แต่ถ้าเราไม่ชินชากับมันนะ เห็นไหม เรามีหลักมีเกณฑ์ของเรา เราไม่ชินชา
นี่ที่เราทำกัน เราเปลี่ยนแปลงกัน สิ่งต่างๆ ที่เรามีการเปลี่ยนแปลง มีต้นฤดู ปลายฤดู เพื่อให้หัวใจเราเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เวลาเราไปธุดงค์กัน ถ้าที่ไหนมันจืด มันสนิทอยู่กับพื้นที่ พระเราจะย้ายถิ่นบ่อยๆ เราไปเที่ยวป่าช้า เราไปเที่ยวเพื่อให้มันตื่นตัว การตื่นตัวตลอดเวลาคือการฝึกสติ การตื่นตัวเราไปมองแต่ว่าเป็นความทุกข์ยากลำบากกันไปหมด
สิ่งต่างๆ ที่จะทำความตื่นตัว เห็นไหม การตื่นตัวตลอดเวลาเราบอกว่าเป็นความทุกข์ยาก แต่ถ้าความคุ้นชิน นี่ไงความคุ้นชินนี่กิเลสมันเกาะนะ กิเลสมันเกาะใจเรา เพราะเราคุ้นชินกับมัน ทุกอย่างมันกระโดดเกาะได้ แต่ถ้าเราตื่นตัวตลอดเวลานี่การฝึกสติ แต่การฝึกสติมันก็ต้องลงทุนลงแรง มันต้องตื่นตัว
การตื่นตัว เวลาทำทุกอย่างมีการขยับ มีการเคลื่อนไหว มันเป็นการยุ่งยากไปหมดเลย แต่ถ้ามันเป็นการเรียบง่ายต่างๆ เรียบง่ายนะ เรียบง่ายนี่ธรรมวินัย แต่ถ้ามันมีการฝึกฝนมันต้องมีการตื่นตัว การตื่นตัวอย่างนี้เพื่อฝึกเรานะ ฝึกหัวใจของเรา เห็นไหม ฝึกหัวใจของเรา!
เวลาเราประพฤติปฏิบัติกัน ตามธรรมชาติทางการแพทย์นะ บอกเลยการนั่งกดทับ ๔๐ นาทีนี่ผิวหนังตายแล้ว การนั่งกดทับ นั่งเฉยๆ ๔๐ นาทีเท่านั้นแหละ ผิวหนังเสียหายแล้ว แต่เรานั่งกันทีหนึ่ง ๑๒ ชั่วโมง ตั้งแต่พระอาทิตย์ตกจนพระอาทิตย์ขึ้น ๑๒ ชั่วโมง เราทนกันทำไม หลวงตาท่านพูด เห็นไหม ท่านนั่งจนก้นแตก เพราะมันกดทับจนเน่า กดทับจนผิวหนังมันช้ำเลย พอช้ำแล้วมันเกิดพุพองของมันขึ้นมา
สิ่งต่างๆ มันมีของมันอยู่แล้ว ในการเคลื่อนไหว โดยธรรมชาติของเรา ที่เราอยู่กันนี้ กิริยาของเรามันบังไว้หมดไง พอเวลาขบ เวลาเมื่อยเราก็ขยับต่างๆ ของเราไป นี่มันเลยไม่ได้สิ่งใดกลับมา เห็นไหม เขาจะดักปลานะ เขามีรอกมีไซของเขา เขาได้ดักปลามาเป็นอาหารของเขา เราจะดักหัวใจของเราเอง เราจะเอาชนะใจของเราเอง แล้วเราเอาสิ่งใดบ้างที่เป็นกรอบกติกาเข้าไปค้นหาหัวใจของเรา
ถ้าไม่มีกรอบกติกาสิ่งใดเลย ที่เราจะเข้าไปค้นหาตามความเป็นจริงของใจของเรา ดูสิเวลานั่งมันมีเวทนา มันมีความเจ็บ ความปวด ความเมื่อย นี่ไง มันมีกรอบของมันทั้งนั้น เราจะตั้งกติกาอย่างไรของมันขึ้นมา แล้วเราจะไปหาตัวมันอย่างไร.. เวลาปฏิสนธิจิต วิญญาณของเรานี่วิญญาณรับรู้ทั้งนั้นแหละ วิญญาณ โสตวิญญาณต่างๆ วิญญาณสามัญสำนึกทั้งนั้นแหละ แต่ตัวจริงของมันไม่เห็นนะ ตัวจริงของมันจับไม่ได้นะ
หลวงปู่มั่นท่านพูด เห็นไหม ปลาในสุ่ม ปลาในสุ่ม เวลาเทศน์อริยสัจสบายมากเลย เพราะพูดจากความรู้สึกในหัวใจ นี่ปลาในสุ่ม เวลาพูดถึงฆราวาสธรรม ต้องพูดเปรียบเทียบ บุญกุศลเป็นอย่างนั้น สิ่งต่างๆ นี่บุคลาธิษฐาน ตั้งขึ้นมาเพื่อให้เขารู้ ให้เขาเข้าใจได้ นั่นปลานอกสุ่ม ต้องตะครุบเอามันยาก
แต่ถ้าปลาในสุ่ม นี่สัจธรรม มันปวด มันเมื่อย มันทุกข์ มันยาก มันมีต่างๆ นี่ปลาในสุ่ม แล้วหัวใจของเรา เราเกิดมามันมีหัวใจในร่างกายเราใช่ไหม นี่มันอยู่ในสุ่ม มันอยู่ในร่างกาย ทำไมเราค้นหามันไม่เจอ นี่ไง เราต้องค้นหามัน จับปลาของเราให้ได้ ถ้าเราจับปลาของเราไม่ได้นะ เราจะชั่งน้ำหนักปลาเราไม่ได้เลยว่าปลาเราตัวเล็กตัวใหญ่ เราจะชั่งน้ำหนักไม่ได้เลยว่าปลานี้เป็นปลาชนิดใด
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราหาจิตเราไม่เจอนี่ทำอะไรกัน จะทำอะไรกันถ้าจิตไม่สงบเข้ามา เห็นไหม ถ้าจิตมันสงบเข้ามา แล้วสงบมาอย่างไร? สงบที่ว่านี่เห็นแต่สุ่มเปล่าๆ ไง โอ๋ย.. สุ่มนั่นแขวนขายตามร้านเต็มไปหมดเลย มีแหมีรอกเต็มไปหมดเลย มีปลาไหม? ไม่มี
นี่ก็เหมือนกัน ว่างๆ ว่างๆ มันมีแต่สุ่ม! มันมีแต่สุ่มมันไม่มีปลา มันมีแต่ร่างกายไง มีแต่ความรู้สึกของเราไง มีแต่สัญชาตญาณของมนุษย์ไง มีแต่ขันธ์ ๕ มีแต่ความรับรู้ มีแต่อายตนะ ความกระทบรับรู้ แต่ตัวปลาหาไม่เจอ ถ้าตัวปลาหาไม่เจอ นี่เราถึงบอกว่าสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นฤดูกาล เห็นไหม นี่จะออกปลายฤดูกาล สิ่งแวดล้อมต่างๆ ทำให้จิตใจเราชุ่มชื่น เวลาขวัญกำลังใจ การจะทำงานทุกอย่างมันจะประสบความสำเร็จเหมือนกัน
นี่ก็เหมือนกัน ดูสิ อากาศ บรรยากาศมันดีขนาดไหน เวลามันร้อนนะ เวลากลางวันมันร้อนมันเป็นเรื่องฤดูกาล เราจะไม่สามารถไปบังคับสิ่งนี้ได้เลย เราไม่สามารถบังคับสัจจะความจริงที่เป็นการหมุนเวียนไปของธรรมชาติได้ เราต่างหากเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาตินั้น ถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาตินั้น เราจะหลีกเลี่ยง หลบเลี่ยงเอาประโยชน์กับเราได้อย่างไร
ถ้าเรารู้จักการหลบเลี่ยงเอาประโยชน์ของเรา เราศึกษามัน ดูสิฤดูกาลมันเปลี่ยนแปลง เห็นไหม นี่น้ำหลาก น้ำแล้งต่างๆ ในการกสิกรรมเขาทนทุกข์ทนยากกันมาตลอด เขาก็พยายามแก้ไขของเขา ดูสิมีการชลประทาน ในเขตของชลประทาน ที่ดินจะมีราคามาก เพราะมันมีแหล่งน้ำแหล่งประโยชน์ของเขา แต่มันก็มีการขาดแคลนของมัน มันมีวิกฤติของมันเหมือนกัน ถึงเวลาแล้วนี่ เขื่อนไม่มีน้ำมาไม่ได้ จะทำอย่างไรก็แล้วแต่ มันจะมีเวรมีกรรมของมัน ถึงเวลามันจะส่งผลของมัน
นี่ก็เหมือนกัน เราจะบังคับตัวของเรา เราจะไปเกี่ยง ดูสิในนวโกวาท เห็นไหม หนาวนัก อ้างแล้ว อ้างว่าหนาวนักก็ไม่ทำงาน อ้างว่าร้อนนัก อ้างว่าฝนตกนัก อ้างว่ายังไม่พร้อม อ้างเล่ห์ไปหมดเลย มันมีแต่สุ่มอยู่นี่ไง
สุ่มคือสัญชาตญาณนะ เราเกิดมาโดยกรรม เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี่ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณไม่มีใครรู้จักมันหรอก พอเกิดมาเป็นเราแล้วถึงรู้ว่าเรา แล้วนี่เราเข้าไม่ถึงตัวนั้น เราเข้าถึงสัจจะความจริงอันนั้นไม่ได้ ถ้าเข้าถึงสัจจะความจริงอันนั้นได้ เราจะได้สิ่งใดมา สัจธรรมมันเกิดที่ตรงนั้นนะ
สิ่งที่เป็นสัจธรรม คือความสัมผัสได้ คือความรู้สึกจากสัจจะความจริง แต่นี่เรามีความรู้สึกจากสมมุติบัญญัติ เห็นไหม ดูสิเรามาเกิดมาเป็นมนุษย์นี่เป็นสมมุติบัญญัติ เวลาตายจากมนุษย์ไป ถ้าความรู้สึกเราเป็นความจริงอันนี้ เทวดา อินทร์ พรหม มันต่างจากเราอย่างไร ปฏิสนธิจิตขณะเข้าสมาธิกับออกสมาธิ อารมณ์ความรู้สึกมันต่างกันอย่างไร?
อารมณ์ความรู้สึกปกติ เห็นไหม กระทบรับรู้อยู่อย่างนี้ แล้วเวลาจิตมันเป็นสมาธิ มันปล่อยกายทั้งหมดเลย มันเป็นเอกเทศของมันโดยตัวมันเอง มันเป็นอย่างไร? มันเป็นตัวมันเอง มันอยู่ในสัจจะความจริง มันเป็นอย่างไร? นี่ไง สิ่งต่างๆ มันพิสูจน์ได้ แต่สิ่งที่เรารับรู้กันอยู่นี้ เรารับรู้โดยสัญชาตญาณ รู้โดยความเป็นจริง เราว่ามันก็เป็นความจริงแล้วไง.. ก็ความจริง ความจริงที่เรารับรู้ได้
เราพยายามพูดนี่นะ เพราะว่าวันนี้ พรุ่งนี้ โยมมาแล้วมันมีโอกาสนะ ถ้ากำลังใจมันเกิดขึ้นมานะ เราจะมีโอกาสสู้กับตัวเอง ทางจงกรมมันก็มีความพอใจที่เข้าไปสู้กับมัน เดินจงกรมเหงื่อไหลไคลย้อยนี่ดูหัวใจเรา เราทุกข์ไหม เราลำบากไหม พระโสณะเดินจนฝ่าเท้าแตก ไปไม่ได้ก็กลิ้งไปคลานไป
ในพระไตรปิฎกมีมากเลย พระองค์ไหนที่อุกฤษฏ์ จนฝ่าเท้านี้ไปไม่ได้นะ กลิ้งไปกลิ้งมา กลิ้งมากลิ้งไปเพื่อจะเอาให้ได้ไง.. เนี่ยมี! ในพระไตรปิฎกมีเยอะมาก เห็นไหม ดูสิเอตทัคคะ ความเพียรเป็นเลิศ นี่ปัญญาเลิศ มันมีเอตทัคคะแต่ละทางๆ มีไปหมดเลย สิ่งนั้นเราเอามาเทียบเคียงกับเรา เอามาเทียบเคียงให้กำลังใจกับเรา
นี่ไง วันนี้นะ แล้วพรุ่งนี้ออกพรรษาแล้ว ออกพรรษาแล้วทีนี้มันไปไหนก็ได้แล้ว นี่ฤดูกาลไปแล้ว เห็นไหม เวลาเขาอยู่ในป่านะกี่ฝน เราอยู่ในป่าเราไปเจอสหายบ่อย ก็อยู่มา ๒ ฝนก็ ๒ ปี ๓ ฝนก็ ๓ ปี แล้วมันอยู่โดยอุดมการณ์ของเขา แต่เราไปอยู่ในป่าเหมือนกัน เราได้ ๑ พรรษา ๒ พรรษา ๓ พรรษา เรายังมี.. แต่เขาอยู่นับฝนกันนะ
สิ่งที่มันผ่านไปนะเราเรียกร้องกลับมาไม่ได้ เราจะขัดแย้งสิ่งใดๆ ไม่ได้ โลกมันจะหมุนไปอย่างนี้ นี่ประวัติศาสตร์ เห็นไหม ตั้งแต่เมื่อวานก็เป็นสิ่งที่เรียกกลับมาไม่ได้แล้ว แล้ววันนี้ปัจจุบัน แล้วอนาคตมันจะมาอีก นี่มันไปจากไหนล่ะ มันไปจากเรา แล้วนี่เราศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า ธรรมะของพระพุทธเจ้า ทาน ศีล ภาวนา เราทำทานกัน เรารักษาศีลกัน แล้วถ้าภาวนานี่มันจะเกิดปัญญา
ปฏิภาณไหวพริบมันเกิดจากจิตของเราทั้งนั้นแหละ มันเกิดจากการกระทำของเรา มันเกิดจากปลาในสุ่มนั้น ถ้าสุ่มนั้น สุ่มคือร่างกายของเรา มันครอบปลานี้อยู่ แล้วเราจับปลาไม่เป็น จับปลากันไม่ได้ แล้วเทียบเคียงจากภายนอกทั้งหมดเลย ไปตลาดสิ โอ้โฮ.. ปลาเต็มไปหมดเลย เดี๋ยวนี้ไม่ต้องจับนะ เขาเลี้ยงในกระชังเต็มไปหมดเลย โอ้โฮ.. ไปหยิบเอาก็ได้ แล้วเขาให้ไหมล่ะ?
แต่ปลาของเรา ปลาในกระชังนั้นมันเป็นประโยชน์ของผู้เลี้ยงนะ นี่ไงวัฏฏะ เห็นไหม วัฏฏะมันเป็นประโยชน์ของเวรของกรรมนะ แล้วสิทธิผลประโยชน์ส่วนตัวของเราล่ะ ความรู้จริงรู้แจ้งในใจอยู่ที่ไหน.. ความรู้แจ้งอันนี้ นี่มรรคญาณ มันทำให้ปลาตัวนี้รอดพ้นจากวัฏฏะได้ ทำให้ปลาตัวนี้เป็นอิสรภาพได้ แล้วปลาตัวนี้มันอยู่ที่ไหน? ปลาตัวนี้มันอยู่ที่ไหน ค้นคว้าเอานะ
นี่สัจธรรม ๑ ฤดูผ่านไป เวลาเข้าพรรษานี่โอ้โฮ.. สดชื่น แล้วเราก็พยายามจะต่อสู้กัน เวลาออกพรรษา เห็นไหม เหนื่อยล้ากันมาก แต่หลวงปู่ขาวนะท่านบอกว่าท่านจำพรรษาอยู่โรงขอด เวลาออกพรรษาแล้วต้องผ่านไป ละล้าละลังเห็นคุณของมันไง เพราะท่านได้ประโยชน์จากที่นั่นมาก ท่านปฏิบัติที่นั่น ท่านได้คุณธรรมในหัวใจของท่านมาก เวลาจะจากมานะ เก็บของมาแล้วนะยังเหลียวไปมองแล้วมองอีก
เห็นคุณของมันไง เห็นคุณของสถานที่นั้น มันทำให้เราได้สิ่งใดๆ ขึ้นมา นี่สถานที่มันมี สถานที่นี้เป็นภพชาตินะ แล้วสถานที่ในการเกิดของเรา เห็นไหม เวียนตายเวียนเกิดมาเยอะ นี่มันเปลี่ยนแปลงมาตลอดเวลา ดูสภาพนี้สิ เมื่อมาทีแรกมันเป็นอย่างไร ๔ ปีนี้มาเป็นอย่างไร อีก ๑๐ ปีข้างหน้า แล้วถ้าเกิดพวกเราไม่อยู่ ให้รุ่นใหม่มันมาทำนะ มันจะตัดหมดเลย มันบอกต้นไม้ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งสิ้น มันจะก่อสร้างของมัน มันจะทำของมันไว้เป็นประโยชน์กับมัน เห็นไหม
มันอยู่ที่อุดมการณ์ อยู่ที่ความคิดของคนนะ กาลเวลามันเปลี่ยนแปลงทุกๆ อย่าง แล้วเราล่ะ ชีวิตเราจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลานะ
นี่พูดถึงสัจธรรม เราเห็นใจนะ เพราะวันนี้อีกวันหนึ่ง พรุ่งนี้ออกพรรษาแล้วนะ ออกพรรษาแล้วเราก็จะกลับบ้านกันนะ เราจะไปเผชิญชีวิตปกติเราอีกแล้ว ชีวิตที่เราเป็นปกติในโลก กับที่เรามาถือศีล เป็นพรหมจรรย์ อยู่ตัวคนเดียว อยู่กับศีลกับธรรมในหัวใจของเรา นี่บรรยากาศมันแตกต่างอย่างไร รักษาใจของเรา เพื่อประโยชน์ของเรา เอวัง